เทศน์เช้า

ยาพิษเคลือบน้ำตาล

๙ ม.ค. ๒๕๔๔

 

ยาพิษเคลือบน้ำตาล
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันพระ! วันพระวันทำบุญกุศลไง ทำบุญกุศลเพื่อเราไง เราเกิดมาบุญกุศลพาเกิดมา พอเกิดมาเป็นมนุษย์ เราคิดว่าเราเป็นมนุษย์แล้ว เราเป็นมนุษย์โดยที่ว่าเราเป็นแล้วเป็นเลย แล้วไม่มีอะไรส่งเสริมมา ถ้าไม่มีศีล ๕ ศีล ๕ ไม่บริสุทธิ์ มนุษย์สมบัติสำคัญที่สุด เพราะมนุษย์มันสำคัญตรงที่มันยืนยันกันว่าเวลาตายไปแล้วไปเกิดเป็นอย่างอื่น แล้วเวลาเป็นอย่างอื่นแล้วทำไมมาเกิดเป็นมนุษย์

ถึงว่าเวลาจิตมันเกิด มันถึงว่าเกิดเป็นสัตว์ก็ได้ เกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ เกิดเป็นเทวดาก็ได้ เกิดได้หมดเพราะอะไร?

มันเกิดได้เพราะมันมีเหตุ เหตุคือบุญกุศลเราพาไปเกิด บุญกุศลที่เราสร้างสมกันนี่พาไปเกิด แล้วบุญกุศลเฉพาะเราที่ว่าการทำทานเท่านั้นเป็นบุญ เห็นไหม การถือศีลก็เป็นบุญ การภาวนายิ่งเป็นบุญใหญ่เลย

ทาน ศีล ภาวนา ทานนี่เป็นพื้นฐานเฉยๆ พื้นฐานเพราะอะไร? เพราะมันทำง่าย พอมันทำง่าย พอมันสละออกไป เห็นไหม เราว่าของที่ทำทำง่าย ถ้าทำทานนี่ทำยากเพราะว่ามันต้องหาเงินหาทองมาก่อน แล้วค่อยสละออกไปข้างนอก แล้วอย่างนั้นแล้วทำง่าย ง่ายทำไมมันไม่อยากทำล่ะ? แต่เวลาปฏิบัติถือศีล มันได้กุศลมากกว่าอีก ทาน ศีล ภาวนา เห็นไหม

“ทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง”

“มีศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำสมาธิได้หนหนึ่ง”

ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วเกิดปัญญาขึ้นนะ เกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาสามารถไปชำระ ชำระมันจะเห็นตรงนี้ไง เห็นที่ว่าจิตนี้ไปเกิดอะไรพาไปเกิด เวลามันภาวนาไปมันจะชำระ ขันธ์มันจะขาดออกไป กิเลสมันจะขาดออกไป ขาดเป็นชั้นๆ ไป

ถ้ากิเลสมีอย่างนี้ ถ้าความทำด้วยอกุศลมันจะเกิดในอบายภูมิ อย่างสัตว์เดรัจฉาน แล้วเปรตผี อบายภูมิ นี่จิตมันไปเกิด แล้วเวลาสัตว์มันตายไปตัวหนึ่ง เห็นไหม วิญญาณออกจากร่างไปเกิดใหม่ เวลาสัตว์มันเกิดมา ก็จิตวิญญาณไปเกิดเป็นมัน แต่เกิดสถานะภพๆ หนึ่งชั่วคราวๆ แล้วเวียนไป มันมีเหตุตัวนี้พาไปเกิด

ถ้ามีบุญกุศลที่เราเกิดมาแล้วเราสร้างบุญกุศล บุญกุศลเชื้อในใจนั้นพาไปเกิด มันก็ไปเกิดดี แล้วภาวนาไป เห็นตรงนี้มันขาดออกไป สิ่งที่มันสลัดออกไปเป็นชั้นเป็นตอนสลัดออกไป ความสลัดออกไปจากใจเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เห็นไหม มันเห็นชัดด้วยว่าเหตุที่พาไปก็เห็น แล้วสละเหตุนั้นออกไป ใจนั้นมันถึงจะบริสุทธิ์ไปเรื่อยๆ

ทาน ศีล ภาวนา เราว่าอันนี้มันเป็นการประพฤติปฏิบัติ ในศาสนาเราใครๆ ก็สอนกัน แต่มันเป็น “ยาพิษเคลือบด้วยน้ำตาล” บางอย่างนะ การประพฤติปฏิบัติผิด ถ้าประพฤติปฏิบัติผิด ไม่มีครูบาอาจารย์ทำไป เวลาทำไปๆ การประพฤติปฏิบัติเรานี่ เราเข้าใจแล้ว เราพยายามทำคุณงามความดี ทาน ศีล ภาวนา หาครูหาอาจารย์ ถ้าครูอาจารย์พาถูกทาง มันก็ไปถูกทาง ถ้าครูอาจารย์พาไปไม่ถูกทาง เห็นไหม พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า “โคนำฝูง” มันจะนำฝูงนั้นขึ้นฝั่งหรือมันจะนำฝูงไปในวังน้ำวน ให้น้ำวนนั้นดูดมันลงไปในน้ำวนนั้นตายกันไปหมด ถ้าตายไปๆ นะ

อันนี้ก็เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติ ถ้าประพฤติปฏิบัติอย่างผิดทาง มันก็ยังทำให้เนิ่นช้า แล้วพอเนิ่นช้าไม่เนิ่นช้าเปล่านะ อยู่ที่กุศลอกุศลของตัวเอง ถ้าตัวเองมันยึดมั่นถือมั่นอันนั้น มันถือว่าอันนั้นถูก พอถือว่าอันนั้นถูก เห็นไหม นี่ยาพิษเคลือบด้วยน้ำตาล

เวลาเราไปวัดไปวา เราว่าเราประพฤติปฏิบัติไง นี่มันเป็นยา คิดว่าเป็นยา แต่ยานี่มันยาอะไร? ถ้ายาพิษเคลือบด้วยน้ำตาล เห็นไหม การประพฤติปฏิบัติ กุศลทำให้เกิดอกุศล เวลาเราไปวัดไปวานะ ฟังศีลฟังธรรมนะ มันจะกดให้ใจเราโน้มเย็นลงได้ มันสำคัญตรงนี้

ยาพิษเคลือบน้ำตาลจากข้างนอกกับยาพิษเคลือบน้ำตาลจากข้างในนะ ยาพิษเคลือบน้ำตาลจากข้างใน ข้างในคือใจของเราเอง ยาพิษเคลือบน้ำตาลจากข้างนอกคือครูบาอาจารย์ชี้นำเรา ถ้ายาพิษเคลือบน้ำตาลจากของเราเอง เราสามารถ ทาน เห็นไหม เราศรัทธามีความเชื่อ มันกดได้ชั่วคราว

พอยิ่งกดขึ้นไป แรงต้านมันมีไง เวลาแรงต้านมันมี เวลาจิตมันเสื่อมขึ้นมา มันถึงแสดงออกด้วยความรุนแรงมาก มันถึงประชดประชันถึงทำลายถึงว่าอนาคตของตัวก็ไม่คิดนะ คิดถึงว่าเราทำตรงนี้เพื่อให้สะใจกับกิเลส พอยาพิษมันรุนแรงแล้วไม่สามารถควบคุมอะไรได้ เหมือนกับเราควบคุมตัวเองไม่ได้ การควบคุมตัวเองไม่ได้ มันทำสุดความสามารถของมัน แล้วถ้ามันทำเป็นอกุศลไป มันจะเต็มที่ของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นต้องเกิดในอบายภูมิ ใจดวงนั้นทำอย่างนั้น

เพราะว่ากรรมคือการกระทำ ศาสนาสอนเรื่องกรรม เรื่องการกระทำ ถ้าลองทำแล้วมันจะให้มีผลแน่นอน มันสะสมลงที่ใจ แต่มันจะให้ผลเมื่อไหร่ เห็นไหม กรรมถึงเวลามันตอบสนองขึ้นมาแล้ว ถ้ากรรมนี้มันสุกงอมแล้ว มันจะตอบสนองกับใจดวงนั้นตลอดเวลา ถ้าใจดวงนั้นยังไม่สามารถพลิกตรงนี้ได้

มันถึงว่าเราเป็นคนกระทำเท่านั้น ถ้ายาพิษเคลือบน้ำตาลเรารักษาได้ เราปกคลุมได้ เรารักษาของมันไป มันจะอยู่ในอำนาจของเราไปก่อน เห็นไหม ต้องพยายามทำให้ยาพิษนี้เคลือบน้ำตาลมันให้ได้เหมือนกัน

ยาพิษเคลือบน้ำตาลมี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือหัวใจมันมียาพิษอยู่แล้ว เราจะต้องเคลือบมันให้มันยอมเราพักหนึ่ง ให้มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติไง ให้มีโอกาสได้หาทางออกของเรา ถ้าหาทางออกไปมันจะต่อต้าน มันมีของเราอยู่แล้วโดยธรรมชาติ แล้วไปเจอคนที่ส่งเสริมผิด คนที่ชี้นำผิด ยาพิษเคลือบน้ำตาลข้างนอกมันก็เข้าทางเดียวกันไป มันยิ่งเชื่อมั่นไปทางนั้นเพราะอะไร? เพราะกิเลสมันชอบอยู่แล้ว ถ้าคนชี้ให้ออกทางมัน มันชอบอยู่แล้ว แต่ถ้าคนหักห้ามมัน มันจะไม่ชอบมัน

การประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม พระบวชใหม่เขาถึงบอกว่าจะมีอันตรายของพระบวชใหม่คือการไม่ยอมเชื่อฟัง พระบวชใหม่นี่จะทนการสั่งสอนได้ยาก พระบวชใหม่จะเชื่อตัวเองไง ความเชื่อตัวเอง ยาพิษของตัวเองมันแสดงออก พอยาพิษมันแสดงออกไป มันก็แสดงออกไป นี่เราคิด ถ้าเราคิดเราต้องว่าเราถูก เพราะเป็นความคิดของเรา พอเราคิดขึ้นมาเราถูก ถูกก็ทำไป แล้วพอไปเจอคนอื่นเขาทำ เห็นไหม

ถึงบอกว่า “หนึ่งตัวอย่าง” ถ้าครูบาอาจารย์เป็นตัวอย่างของเราไม่ได้ ความคิดของเรามันยิ่งอหังการเข้าไปใหญ่ เพราะว่าเราเหนือกว่า แต่ถ้าครูบาอาจารย์ที่ชี้นำมาแล้ว ผ่านมาแล้ว อย่างเขาผ่านมาแล้วเขาจะรู้เลยว่า สิ่งที่เข้าไปกระทบ ครูบาอาจารย์ลองผ่านขึ้นมา ทำความสงบเข้าไปมันจะเกิดนิมิต มันจะเกิดความเห็นต่างๆ ความเห็นนั้นมันเป็นดอกไม้ริมทางไง

เราจะเข้าไปหาเป้าหมาย เราต้องผ่านถนนหนทางเข้าไป ต้องก้าวเดินไป จิตมันจะก้าวเดินไป มันจะมีดอกไม้ริมทาง คือว่ามีความเห็นความชักนำ มันอยากชักให้ใจนี่พักอยู่ข้างทางนั้น พอใจพักอยู่ข้างทางนั้นมันจะก้าวเดินไปไม่ได้ มันก็ติดอยู่ตรงนั้น เห็นไหม อันนี้คือว่ายาพิษภายในมันหลอก

แต่ถ้าครูบาอาจารย์เคยผ่านมาแล้ว สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ยาพิษเคลือบน้ำตาลอ่อนๆ เท่านั้น ที่เพียงหลอกลวงให้เราติดขัดเท่านั้น แต่ถ้าจิตมันสงบเข้าไป มันไปเจอความหลอกลวงภายใน มันจะละเอียดอ่อนกว่านั้น สิ่งที่มันละเอียดอ่อนกว่านั้น เห็นไหม ยังต้องผ่าน แล้วทำไมความอ่อนๆ อย่างนี้ทำไมต้องไปติดมัน?

แต่ถ้ายาพิษของเรามันมีอยู่ มันติด มันเห็นสภาพแล้วมันเป็นผู้วิเศษไง จิตนี้มันต่างไปจากคนปกติ จิตนี้มันต่างไป พอจิตมันต่างไปมันเห็นคุณวิเศษ มันจะว่ามันวิเศษ แต่มันวิเศษด้วยยาพิษเคลือบน้ำตาล สิ่งที่เห็นนั้นมันเห็นด้วยอำนาจวาสนาบารมี คนเขาสะสมบุญกุศลของเขามา เขาต้องเห็นสภาพแบบนั้น เห็นสภาพแบบนั้นมันก็เป็นเครื่องติดอยู่เหมือนกัน บารมีก็เป็นบารมี เห็นไหม

อาจารย์ถึงบอกว่า “เวลาธรรมมันเกิดนะ เวลาเราพูดกันว่าธรรมเกิดๆ เวลาทำความสงบไป จิตมันจะรู้เห็นต่างๆ มันจะมีความเห็นต่างๆ แล้วมันจะผุดขึ้นมานะ อย่างเราสงสัยสิ่งใดอยู่ มันจะตอบเป็นคำตอบออกมา เห็นไหม นี่ธรรมมันผุด ธรรมมันผุดนี่มันเป็นธรรมชาติของมัน” แต่ถ้าอาจารย์มหาบัวท่านบอก “นี่กิเลสมันเกิด”

กิเลสมันผุดเพราะอะไร? เพราะเวลามันติดแล้ว มันเห็นแล้วมันอยากเห็นอย่างนั้นอีกหนึ่ง เพราะจิตไปเห็นอย่างนั้นได้ จิตมันต้องสงบพอสมควรหนึ่ง จิตมันสงบพอสมควรมันถึงจะมีสิ่งที่เป็นธรรมผุดขึ้นมา นี่มันอยากได้อยากเห็นอย่างนั้น มันเป็นความอยาก พอเป็นความอยากจิตมันก็ติดอยู่ตรงนั้น มันข้องอยู่ตรงนั้น มันหมุนไปไม่ได้ มันก็ติดอยู่ตรงนั้น

นี่กิเลสมันเกิด เกิดเพราะว่ายาพิษภายในมันไปติดพันมัน ถ้ายาพิษภายในไม่ไปติดพันมัน มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น เรารับรู้ไว้ เห็นไหม เป็นบุญกุศลของเรา เป็นอำนาจวาสนาบารมีของเรา จะเห็นนรกเห็นสวรรค์ เห็นเปรตเห็นผี จิตมันเคยผ่านมาทั้งนั้น ไอ้เครื่องดำเนินถนนหนทางที่เราก้าวเดินไป มันต้องผ่านแดดผ่านลมแน่นอน รถมันวิ่งเคลื่อนไป เราเดินผ่านไป มันต้องผ่านร้อนผ่านหนาว มันต้องมีอาการผ่าน

ความเห็นก็เหมือนกัน จิตมันเห็นมันผ่านอย่างนั้นไป เราจะไปติดมันทำไม? เรารับรู้ไว้ๆ สิ่งที่รับรู้ไว้ เห็นไหม เพราะว่าอันนี้มันเป็นทางผ่าน มันเป็นสมถะเฉยๆ พอมันสงบเข้าไปแล้ว มันถึงต้องไปยกขึ้นวิปัสสนา ถ้ายกขึ้นวิปัสสนาแล้วไปชำระสิ่งที่ว่าเป็นเหตุในหัวใจนั้น อันนั้นถึงว่ามันยืนยันกันไงว่านรกสวรรค์ก็มีจริงหนึ่ง เหตุที่จะไปนรกสวรรค์ก็มีจริงหนึ่ง วัฏวนที่จิตเกิดดับมันจะเห็นจริง เห็นตามความเป็นจริงหมด

พระพุทธเจ้าพูดไว้นั้นเชื่อก่อน ทีแรกเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา พอเชื่อมา เห็นไหม ความเชื่อนั้นทำให้เราเกิดมีศรัทธา มีพลังงาน จิตนี้รวมเป็นความเชื่อ เป็นเอกภาพนะ พอเป็นเอกภาพ มันมีพลังงานสำหรับขับเคลื่อนเข้าไปมา

ถ้าจิตไม่เชื่อ เห็นไหม จิตมันก็คิดวอกแวกๆ ไป คิดเรื่องโน้นคิดเรื่องนี้ จิตนี้ไม่รวมเป็นหนึ่ง มันทำงานร้อยแปดโดยธรรมชาติของมัน แล้วเราบังคับมันไม่ได้ นี่ยาพิษภายในไม่สามารถให้โอกาสเราทำงาน ถ้ายาพิษภายในมันสงบตัวลง จิตนี้รวมเป็นหนึ่ง รวมเป็นเอกภาพ เห็นไหม มันเป็นสมาธิ มันเป็นสัมมาสมาธิ มันยกขึ้นวิปัสสนาได้ พอมันยกขึ้นวิปัสสนาไปมันชำระกิเลส ตรงนั้นสำคัญที่สุด! สำคัญกว่าการเห็นอำนาจวาสนาบารมีของตัว

อำนาจวาสนาบารมีของเรามีอยู่กับเรา แล้วจิตใจเราสกปรกโสมม เห็นไหม จิตใจเราสกปรก อำนาจวาสนานั้นก็สกปรกไปกับเราเพราะอะไร เพราะเราคิดตามยาพิษภายใน ยาพิษภายในคิดขนาดไหนเราก็เทียบค่ากับความเห็นนั้น พอเทียบค่ามันก็ยึดติดกันไป มันก็เลยพันกันไปหมดเลย

แต่ถ้าเราปล่อยวางมันไว้ บารมีเป็นบารมี แล้วทำใจเราเข้าไปถึงตรงนั้น มันสะอาดขึ้นมา คือว่ามันชำระเหตุอันนั้นออกไป พอจิตมันชำระเหตุออกไป บารมีก็ยังมีอยู่ เห็นไหม แต่บารมีอยู่กับจิตที่สะอาด ร่างกายเราสะอาดบริสุทธิ์ เครื่องประดับอาภรณ์ของเราก็ดูสวยงามไปด้วย ร่างกายเราสกปรก จะเพชรนิลจินดาใส่เข้าไป มันก็อยู่ในสิ่งของที่สกปรก

อำนาจวาสนาบารมีมันก็อันเดียวกัน มันเป็นเพชรนิลจินดาแต่จะประดับกับร่างกายที่สกปรก หรือจะไปประดับกับร่างกายที่สะอาด ถ้าประดับกับร่างกายที่สะอาด มันก็เป็นประโยชน์ มันสวยงามมาก มีค่า มีคุณค่ามาก ถ้าประดับกับร่างกายที่สกปรก เห็นไหม นี่มันเป็นยาพิษอยู่ภายในอยู่แล้วหนึ่ง แล้วมันเคลือบด้วยน้ำตาล ธรรมะไปข้างนอกนี่เคลือบน้ำตาลมา จนสุดท้ายแล้วพลิกจากยาพิษนี้เป็นน้ำตาลหมด พลิกจากยาพิษนี้เป็นธรรมหมด ยาพิษคือเหตุไง เหตุพาให้เกิดเป็นทุกข์เป็นร้อน เราชำระยาพิษจากใจของเรา ยาพิษนี้ชำระล้างได้

ในศาสนากิเลสคือเครื่องดองใจ เห็นไหม ผลไม้ดองแล้วทำให้สะอาดไม่ได้ แต่หัวใจเพราะกิเลสมันดองมา อนุสัยมันนอนเนื่องในใจ มันพาเกิดพาตายอยู่ตลอดเวลา แต่ธรรมะนี่ประเสริฐ ธรรมโอสถสามารถชำระเหตุของใจนี้ให้สะอาดได้ มันมหัศจรรย์ขนาดนั้น

ถึงว่าวันนี้วันพระไง วันพระต้องเอาสิ่งนี้มาประดับใจของตัว ให้เป็นพระที่หัวใจ เห็นไหม ทำลายยาพิษจากข้างในแล้วนะ ยาพิษข้างนอกเข้ามาเคลือบไม่ได้เลย ยาพิษข้างนอกเพราะเรารู้ของเรามันเทียบเคียงได้ ฉะนั้น ยาพิษภายในสำคัญมาก ชำระให้ได้แล้วเราจะมีความสุขของเรา เอวัง